เมนู

อเสกขธรรม 10


[366] ดูก่อนนายช่างไม้ เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม
10 ประการเหล่าไหน ว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึง
ภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ดูก่อนนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมาสังกัปปะเป็นของ
อเสขบุคคล 1 สัมมาวาจาเป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมากัมมันตะเป็นของอเสข-
บุคคล 1 สัมมาอาชีวะเป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมาวายามะเป็นของอเสขบุคคล
1 สัมมาสติเป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมาสมาธิเป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมาญาณะ
เป็นของอเสขบุคคล 1 สัมมาวิมุตติเป็นของอเสขบุคคล 1 เราย่อมบัญญัติบุคคล
ผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการเหล่านี้แล ว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศล
อย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ช่างไม้ปัญจกังคะ
ยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล.
จบสมณมุณฑิกสูตรที่ 8

8. อรรถกถาสมณมุณฑิกสูตร


สมณมุณฑิกสูตร

มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับ
มาอย่างนี้.
ในบรรดาบทเหล่านั้นบทว่า อุคฺคาหมาโน ปริพาชกชื่อว่า อุคคาห-
มานะ ชื่อเดิมของปริพาชกนั้นว่า สุมนะ แต่เพราะสามารถเรียนวิทยา
หลายอย่าง ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า อุคคาหมานะ. ชื่อว่า สมยมฺปวาทกํ

เพราะเป็นที่ประชุมแสดงลัทธิ. นัยว่าในที่นั้น พวกพราหมณ์เริ่มต้นด้วย
ปกิตารุกขพราหมณ์และโปกขรสาติพราหมณ์ นิครนถ์และ พวกบรรพชิตมี
อเจลกและปริพาชกเป็นต้น ประชุม ประกาศ สนทนา แสดง ลัทธิของตน ๆ
เพราะฉะนั้นอารามนั้นจึงเรียกว่า สมยัปปวาทกะ ที่ประชุมแสดงลัทธิ. ศาลา
ชื่อว่า ติณฑุกาจีระ เพราะล้อมด้วยแถวต้นมะพลับ. ก็เพราะ ณ ที่นี้ได้มี
ศาลาอยู่หลังหนึ่งก่อน. ภายหลังจึงสร้างไว้หลายหลัง เพราะอาศัยโปฏฐปาท-
ปริพาชิก ผู้มีบุญมาก. ฉะนั้น จึงเรียกว่า เอกสาลกะ โดยได้ชื่อตาม
ความหมายถึงศาลาหลังหนึ่งนั้นนั่นเอง. เอกสาลกะนั้นเป็นสวนของพระราช
เทวีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนามว่ามัลลิกา ดาดาษด้วยดอกไม้และ
ผลไม้ เพระทำเป็นอารามจึงเรียกว่าอารามของพระนางมัลลิกา. อุคคาหมาน-
ปริพาชกอาศัยอยู่ในอารามของพระนางมัลลิกา ในตำบลติณฑุกาจีระอันเป็น
ที่ประชุมแสดงลัทธินั้น อยู่อย่างสบาย. บทว่า ทิวาทิวสฺส เวลาเที่ยง คือ
เลยเวลาเที่ยงชื่อว่า เวลาเที่ยงวัน. อธิบายว่า อุคคาหมานปริพาชกออกไปใน
เวลาเที่ยงเลยไป เป็นกลางวันแม้ของวันนั้น. บทว่า ปฏิสลฺลีโน พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ คือ ทรงสำรวมจิตจากอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น ๆ
หลีกเร้นอยู่ ถึงความเป็นองค์เดียวด้วยทรงยินดีในฌาน. บทว่า มโนภาวนี-
ยานํ
คือ ผู้เจริญทางใจ. ความปราศจากนิวรณ์เพียงความคิดย่อมมีแก่ภิกษุผู้นึก
ผู้มนสิการอยู่. จิตย่อมฟู คือย่อมเจริญ. บทว่า ยาวตา ประมาณเท่าใด.
บทว่า อยํ เตสํ อญฺญตโร นายช่างไม้ผู้นี้เป็นผู้หนึ่งของบรรดาสาวกเหล่านั้น
คือเป็นสาวกผู้หนึ่งในระหว่างสาวกเหล่านั้น. บทว่า อปฺเปว นาม คือ
อุคคาหมานปริพาชกต้องการให้นายช่างไม้เข้าไปใกล้จึงกล่าว. ก็เหตุที่ต้องการ
ท่านกล่าวไว้แล้วในสันทกสูตร. บทว่า เอตทโวจ อุคคาหมานปริพาชกได้
กล่าวกะนายช่างไม้นั้น. อุคคาหมานปริพาชกสำคัญว่า คหบดีนี้มีปัญญาอ่อน

เราจักสงเคราะห์เขาด้วยธรรมกถาแล้วจักทำให้เป็นสาวกของตน จึงได้กล่าวคำ
มีอาทิว่า จตูหิ โข ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ปญฺญเปมิ เราบัญญัติ คือเราแสดงตั้งขึ้น.
บทว่า สมฺปนฺนกุสลํ คือมีกุศลบริบูรณ์. บทว่า ปรมกุสลํ มีกุศลอย่างยิ่ง
คือมีกุศลอุดม. บทว่า อโยชฺฌํ ไม่มีใครรบได้ คือไม่มีใครสามารถจะรบ
ด้วยวาทะให้หวั่นได้เป็นผู้ไม่หวั่นไม่ไหว มั่นคง. บทว่า น กโรติ คือย่อม
กล่าวเพียงไม่ทำเท่านั้น. อนึ่ง ในบทนี้อุคคาหมานปริพาชกไม่กล่าวถึงการละ
ด้วยความสำรวมหรือการพิจารณา. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน . บทว่า
เนว อภินนฺทติ ไม่ยินดี คือนายช่างไม้สำคัญว่า ธรรมดาพวกเดียรถีย์
ทั้งหลาย รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ก็พูดส่งเดชไป จึงไม่ยินดี. บทว่า นปฺปฏิกฺโกสิ
ไม่คัดค้าน คือนายช่างไม้สำคัญว่า อุคคาหมานปริพาชกกล่าวดุจคล้อยตาม
ศาลนา ดุจอาการเลื่อมใสศาสนา จึงไม่คัดค้าน.
บทว่า ยถา อุคคาหมานสฺส เหมือนอย่างคำของอุคคาหมานปริพา-
ชก. พระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงว่า เราไม่กล่าวเหมือนอย่างคำของอุคคาหมาน-
ปริพาชกนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่จักเป็นสมณะที่ใคร
รบไม่ได้ จักเป็นสมณะมั่นคงน่ะซิ. บทว่า กาโยตปิ น โหติ แม้เพียงจะรู้ว่า
กายดังนี้ก็ยังไม่มี คือไม่มีความรู้วิเศษว่า กายของตนหรือกายของผู้อื่น. บทว่า
อญฺญตฺร ผนฺทิตามตฺตา นอกจากจะมีเพียงอาการดิ้นรน คือย่อมมีเพียง
กายดิ้นรนด้วยการสัมผัสเถาวัลย์บนที่นอนหรือถูกเรือดกัด นอกจากนั้นแล้วก็
ไม่มีการทำทางกายอย่างอื่น. อนึ่ง กรรมนั้นจะมีก็ด้วยจิตประกอบด้วยกิเลส
เท่านั้น. บทว่า วาจาติปิ น โหติ แม้แต่จะรู้ว่าวาจาดังนี้ก็ยังไม่มี คือจะรู้
ความต่างกันว่า มิจฉาวาจา สัมมาวาจา ก็ไม่มี. บทว่า โรทิตมตฺตา นอก

จากจะมีเพียงการร้องไห้ คือจะมีเพียงการร้องไห้ของเด็กอ่อนที่หิวและกระหาย
แม้กรรมนั้นจะมี ก็ด้วยจิตประกอบด้วยกิเลสเท่านั้น. บทว่า สงฺกปฺโป คือจะ
รู้ความต่างว่ามิจฉาสังกัปปะ สัมมาสังกัปปะก็ไม่มี. บทว่า วิกุฏิตมตฺตา
นอกจากจะรู้เพียงการร้องไห้และหัวเราะ คือจิตของเด็กอ่อนมีอารมณ์ในอดีต
เป็นไป. เด็กอ่อนมาจากนรกระลึกถึงทุกข์ในนรกย่อมร้องไห้. มาจากเทวโลก
ระลึกถึงสมบัติในเทวโลกย่อมหัวเราะ. กรรมแม้นั้นย่อมมีได้ด้วยจิตประกอบ
ด้วยกิเลสเท่านั้น. บทว่า อาชีโว จะรู้ความต่างว่ามิจฉาชีพ สัมมาชีพก็ไม่มี.
บทว่า อญฺญตฺร มาตุกญฺญํ นอกจากน้ำนมของมารดา. เด็กอ่อนเหล่านั้น
ชื่อว่ายังเป็นทารก เมื่อมารดาให้ดื่มน้ำนมก็ไม่ดื่ม ในเวลาที่มารดาจัดแจงงาน
อื่นมาข้างหลังจะดื่มน้ำนม. มิจฉาชีพอย่างอื่นพ้นไปจากนี้ก็ไม่มี. ท่านแสดง
ว่ามิจฉาชีพนี้ย่อมมีด้วยจิตประกอบด้วยกิเลสเท่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงปฏิเสธวาทะของปริพาชกอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะทรงวางมาติกาในเสกขภูมิด้วยพระองค์เอง จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า
จตูหิ โข อหํ เราบัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการแล. ในบท
เหล่านั้นบทว่า สมธิคยฺห ติฏฐติ คือตั้งไว้ให้ดี. ในบทมีอาทิว่า น กาเยน
ปาปํ
ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย คือไม่เพียงสักว่าไม่ทำอย่างเดียวเท่านั้น. แต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติการละด้วยการสังวรและการพิจารณาไว้ในบทนี้
ด้วย. ทรงหมายถึงข้อนั้นจึงได้ตรัสไว้. ส่วนบทมีอาทิว่า น เจว สมฺปนฺนกุสลํ
มิใช่ผู้มีกุศลสมบูรณ์ ตรัสหมายถึงพระขีณาสพ. บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ
ทรงวางมาติกาในอเสกขภูมิจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ทสหิ โข อหํ เรา
บัญญัติบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการ. ในบทนั้น อาศัย 3 บท
ทรงวางจตุกกะ 1 ไว้ 2 บท. อาศัยบท 1 ทรงวางจตุกกะสุดท้ายไว้ 2 บท.
นี้คือมาติกาในอเสกขภูมิ.

บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกมาติกานั้นจึงตรัสพระ
ดำรัสมีอาทิว่า กตเม จ ถปติ อกุสลา สีลา ดูก่อนนายช่างไม้ ก็ศีลเป็น
อกุศลนั้นเป็นไฉน. ในบทเหล่านั้นบทว่า สราคํ มีราคะ คือจิตประกอบด้วย
โลภะ 8 อย่าง. บทว่า สโทสํ มีโทสะ คือจิต 2 ดวง สัมปยุตด้วยปฏิฆะ.
บทว่า สโมหํ มีโมหะ คือแม้จิต 2 ดวง ประกอบด้วย วิจิกิจฉาและอุทธัจจะ
ก็ควร แม้จิตที่เป็นอกุศลทั้งหมดก็ควร. เพราะท่านกล่าวไว้ว่า โมหะย่อมเกิด
ในอกุศลทั้งปวง. บทว่า อิโตสมุฏฺฐานา ชื่อว่า อิโตสมุฏฐาน เพราะ
มีสมุฏฐานเกิดแต่จิตมีราคะเป็นต้นนี้. บทว่า กุหึ คือศีลที่เป็นอกุศลดับไม่
เหลือเพราะบรรลุฐานะไหน. บทว่า เอตฺเถเต ในการละทุจริตนี้คือ ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล. จริงอยู่ปาฏิโมกขสังวรศีล ย่อมบริบูรณ์ในโสดาปัตติผล. ถึงฐานะ
นั้นแล้วศีลเป็นอกุศลดับไม่เหลือ. อนึ่ง บทว่า อกุสลสีลํ นี้พึงทราบว่าเป็น
ชื่อของบุคคลทุศีลบ้าง เป็นชื่อของธรรมที่เป็นอกุศลบ้าง. บทว่า นิโรธาย
ปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อความดับ คือปฏิบัติเพื่อความดับตั้งแต่โสดาปัตติมรรค.
แต่ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นอันดับด้วยการบรรลุพระอรหัต. ด้วยบท
มีอาทิว่า วีตราคํ เป็นต้น ท่านกล่าวถึงกามาวจรกุศลจิต 8 อย่าง. ด้วยบทนี้ศีล
ที่เป็นกุศลย่อมตั้งขึ้น. บทว่า สีลวา โหติ เป็นผู้มีศีล คือเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย
ศีลและสมบูรณ์ด้วยคุณ. บทว่า สีลมโย สำเร็จด้วยศีล คือ ไม่สำเร็จด้วยศีล
อย่างนี้ว่า เพียงเท่านี้ก็พอ ไม่มีสิ่งไรๆ ที่ควรจะทำยิ่งไปกว่านี้. บทว่า ยตฺถสฺส
เต
อันเป็นที่ดับหมดสิ้นแห่งศีลเป็นกุศลเหล่านั้นของภิกษุนั้น คือตั้งอยู่ใน
อรหัตผล. เพราะศีลที่เป็นอกุศลดับไม่เหลือ เพราะบรรลุพระอรหัตผล. บทว่า
นิโรธาย ปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อดับ คือชื่อว่าปฏิบัติเพื่อดับตั้งแต่อรหัตมรรค.
ศีลที่เป็นกุศลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นอันดับด้วยการบรรลุผล.

ใน กามสฺญญา เป็นต้นมีความดังต่อไปนี้ บทว่า ถามสฺญญา
สัญญาในกาม คือสัญญานอกนี้เกิดร่วมกับจิตที่ประกอบด้วยโลภะ 8 ดวง สัญญา
ที่เกิดร่วมกับจิตประกอบด้วยโทมนัส 2 ดวง. บทว่า ปฐมํ ฌานํ ปฐมฌาน
คือปฐมฌานอันเป็นอนาคามิผล. บทว่า เอตฺเถเต ความดำริเป็นอกุศลเหล่านี้
ดับสิ้นไปในปฐมฌาน คือตั้งอยู่ในอนาคามิผล. เพราะความดำริเป็นอกุศล
ย่อมไม่เหลือเพราะการบรรลุอนาคามิผล. บทว่า นิโรธาย ปฏิปนฺโน ปฏิบัติ
เพื่อความดับ คือชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความดับตั้งแต่อนาคามิมรรค. แต่ความ
ดำริที่เป็นอกุศลเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นอันดับด้วยการบรรลุผล.
สัญญาแม้ 3 มีเนกขัมมสัญญาเป็นต้น เป็นสัญญาเกิดร่วมกับกามาวจร
กุศล 8. บทว่า เอตฺเถเต ความดำริที่เป็นกุศลเหล่านี้ดับไม่เหลือในทุติยฌานนี้
คือในอรหัตผล เพราะว่าความดำริที่เป็นกุศล ย่อมดับไม่เหลือเพราะการบรรลุ
อรหัตผลอันประกอบด้วยทุติยฌาน. บทว่า นิโรธาย ปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อ
ความดับ คือชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความดับจนถึงอรหัตมรรค. แต่ความดำริ
ที่เป็นกุศลเหล่านั้นชื่อว่า เป็นอันดับด้วยการบรรลุผล. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง
ง่ายทั้งนั้นด้วยประการฉะนี้.

จบสมณมุณฑิกสูตรที่ 8

9. จูฬสกุลุทายิสูตร


สกุลุทายิปริพาชก


[367] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทก-
นิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้น สกุลุทายิปริพาชก อยู่ใน
ปริพาชการามเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่. ครั้ง
นั้นเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑ-
บาตยังกรุงราชคฤห์ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำริว่า การเที่ยว
บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ยังเช้านัก อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปหาสกุลุทายิ-
ปริพาชก ยังปริพาชการามอันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูงเถิด ลำดับนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังปริพาชการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง.

ติรัจฉานกถา


[368] ก็สมัยนั้น สกุลุทายิปริพาชกนั่งอยู่กับปริพาชกบริษัทหมู่
ใหญ่ซึ่งกำลังสนทนาติรัจฉานกถาต่างเรื่อง ด้วยเสียงอื้ออึงอึกทึก คือ พูดเรื่อง
พระราชา ฯ ล ฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น สกุลุทายิ
ปริพาชกได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงห้ามบริษัท
ของตนให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลายจงเบา ๆ เสียงหน่อย อย่าส่งเสียงอึงนัก
นี่พระสมณโคดมกำลังเสด็จมา พระองค์ท่านทรงโปรดเสียงเบาและสรรเสริญ
คุณของเสียงเบา บางทีพระองค์ท่านทรงทราบว่า. บริษัทมีเสียงเบา พึงทรง
สำคัญที่จะเสด็จเข้ามาก็ได้. ลำดับนั้น พวกปริพาชกเหล่านั้นพากันนิ่งอยู่ ครั้ง